เลสลี มาร์ก ฮิวส์ (อังกฤษ: Leslie Mark Hughes) มีชื่อเล่นในวงการฟุตบอลว่า สปาร์กี้ เป็นอดีตนักฟุตบอลทีมชาติเวลส์ และปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมเซาแทมป์ตัน ผลงานในการรับใช้ชาติของเขาคือการลงเล่นให้ทีมชาติเวลส์ 72 นัด และยิงประตูได้ 16ประตู
ในช่วงชีวิตการเป็นนักฟุตบอลของเขานั้นผู้คนจดจำเขาได้เป็นอย่างดีจากการลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้ง 2 ช่วง แต่เขากลับไม่ประสบความสำเร็จนักเมื่อต้องออกไปค้าแข้งในต่างแดนกับบาร์เซโลนาในสเปนและบาเยิร์นมิวนิกในเยอรมนีตะวันตก นอกจากนี้ที่อังกฤษเขายังเคยเล่นให้สโมสรเชลซี, เซาแทมป์ตัน, เอฟเวอร์ตัน และสโมสรสุดท้ายที่เขาลงเล่นคือแบล็กเบิร์นโรเวอส์ ก่อนที่เขาจะเลิกเล่นอย่างเป็นทางการในปี 2002
ฮิวส์ ได้เข้าร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หลังออกจากโรงเรียนในปี 1980 แต่ยังไม่ได้ลงเล่นในทีมชุดแรกเหมือนผู้เล่นคนอื่น จากนั้นเมื่อเขาได้รับโอกาสให้ลงสนามนัดแรกเขาก็ยิงประตูได้ทันทีและก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่อย่างเต็มตัว และเขายังเป็นผู้เล่นคนสำคัญในนัดชิงชนะเลิศเอฟเอคัพปี 1985 ที่ทีมของเขาเอาชนะเอฟเวอร์ตันได้ 1-0 และคว้าแชมป์ในที่สุด
ปี 1986 ฮิวส์ย้ายทีมอย่างเป็นที่ตื่นตะลึงเมื่อเทอร์รี่ เวนาเบิลส์ผู้จัดการทีมของบาร์เซโลนาในเวลานั้น จ่ายเงินถึง 2ล้านปอนด์ เพื่อคว้าตัวเขามาร่วมทีมพร้อมกับความหวังที่จะให้เขาเป็นคู่หูชั้นยอดของแกรี่ ลินิเกอร์กองหน้าของทีม แต่ฮิวส์ต้องพบกับความผิดหวังเมื่อไม่อาจงัดฟอร์มเก่งออกมาได้และอยู่กับทีมเพียงหนึ่งฤดูกาลจึงย้ายไปร่วมทีมบาเยิร์นมิวนิกในประเทศเยอรมันตะวันตกด้วยสัญญายืมตัว ในฤดูกาล1987-1988
ในเดือนพฤษภาคม ปี1988 ฮิวส์กลับมาร่วมทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดอีกครั้งภายใต้การคุมทีมของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันผู้จัดการทีมคนใหม่ ด้วยค่าตัว 1ล้าน8แสนปอนด์ และการกลับมายังโอลด์ แทรฟฟอร์ดหนนี้เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม และกลายเป็นดาวยิงคนสำคัญของทีม
เขาได้รับเลือกให้เป็นนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ในฤดูกาล 1988-1989 ซึ่งเป็นปีแรกที่เขากลับมาอังกฤษอีกครั้ง แต่สโมสรยังมีผลงานไม่ดีนักเมื่อจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 11 ปีต่อมาเขายิงคนเดียว2ประตู ใส่คริสตัล พาเลซในเอฟเอคัพนัดชิงชนะเลิศซึ่งเสมอกันไป3-3 ก่อนที่ลี มาร์ตินจะยิงประตูชัยในนัดแข่งใหม่ ส่งผลให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าแชมป์ได้เป็นครั้งแรกในรอบ5ปี และในฤดูกาล1990-1991เขายิงประตูใส่บาร์เซโลนาทีมเก่าของเขาส่งผลให้ทีมได้แชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์สคัพ และเขายังพาทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศลีกคัพ แต่ทีมกลับพลิกล๊อคพลาดท่าให้กับเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ในนัดชิงชนะเลิศ 1-0
ฤดูกาล1991-1992 ฮิวส์ต้องพลาดเหรียญแชมป์ลีกสูงสุดอย่างน่าเสียดายเมื่อลีดส์ ยูไนเต็ดเข้าป้ายอันดับที่1เมื่อจบฤดูกาล แต่ทีมของเขาก็ยังคว้าแชมป์ลีกคัพมาครองได้สำเร็จเป็นรางวัลปลอบใจเมื่อสามารถเอาชนะน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ได้ในนัดชิงชนะเลิศ 1-0 จากประตูชัยของไบรอัน แม็คแคลร์
ในที่สุดฤดูกาล1992-1993 เขาก็คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกกับสโมสรได้เป็นครั้งแรก และในปี 1993-1994เขาก็ยังเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดคว้าดับเบิ้ลแชมป์โดยทีมสามารถป้องกันแชมป์ลีกและยังคว้าแชมป์เอฟเอคัพ โดยในถ้วยเอฟเอคัพฮิวส์เป็นหนึ่งในนักเตะที่ยิงประตูในนัดชิงชนะเลิศที่ชนะเชลซี 4-0
ฤดูกาล1994-1995 ทีมทำท่าว่าจะสร้างผลงานอันสุดยอดเมื่อมีลุ้นคว้าดับเบิ้ลแชมป์อีกสมัย โดยในลีกทีมต้องแย่งแชมป์กับแบล็กเบิร์นโรเวอส์และยังสามารถเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในถ้วยเอฟเอคัพได้สำเร็จ แต่ทีมกลับต้องพบกับความผิดหวังเมื่อในนัดสุดท้ายของพรีเมียร์ลีกทำได้เพียงแค่เสมอกับเวสต์แฮม ยูไนเต็ด 1-1 ทำให้แบล็กเบิร์นโรเวอส์คว้าแชมป์ลีกไปครองโดยมีคะแนนมากกว่าแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดเพียงแค่แต้มเดียวเท่านั้น ส่วนในเอฟเอคัพทีมต้องชิงแชมป์กับเอฟเวอร์ตัน แต่ก็ต้องผิดหวังซ้ำสองเมื่อ พอล ไรด์เอาท์นักเตะทีมเอฟเวอร์ตันยิงประตูชัยพาเอฟเวอร์ตันคว้าแชมป์ในที่สุด และฤดูกาลนั้นเป็นปีสุดท้ายของเขาในโอลด์ แทรฟฟอร์ด
การมาถึงของแอนดี โคลทำให้เขาต้องพบกับความยากลำบากในการเป็นผู้เล่นตัวจริง เขาจึงตัดสินใจย้ายทีมไปเล่นให้กับเชลซีด้วยค่าตัว1ล้าน8แสนปอนด์ โดยเขาย้ายออกจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเวลาเดียวกับพอล อินซ์และอังเดร แคนเชสกี้ซึ่งย้ายออกไปร่วมทีมอินเตอร์ มิลานและเอฟเวอร์ตัน อย่างไรก็ดีการขายผู้เล่นคนสำคัญในทีมออกถึง3ราย กลับไม่ส่งผลต่อกระทบแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดมากนักเมื่อทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้อีกสมัยในฤดูกาล1995-1996
มาร์ก ฮิวส์เป็นหนึ่งในผู้เล่นตัวหลักของเชลซีโดยคู่หูในแดนหน้าของเขาคือจิอันฟรังโก้ โซล่า ในฤดูกาล1996-1997 เขาสามารถคว้าแชมป์เอฟเอคัพร่วมกับทีมได้สำเร็จเมื่อเอาชนะมิดเดิลสโบรช์2-0 ในนัดชิงชนะเลิศ
ฤดูกาล1997-1998เป็นปีสุดท้ายของเขาและเชลซี ซึ่งเขาสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ วินเนอร์สคัพได้อีกสมัยโดยเอาชนะสตุ๊ทการ์ทได้1-0ในรอบชิงชนะเลิศ
ฤดูกาล1998-1999 มาร์ก ฮิวส์ย้ายมาร่วมทีมเซาแทมป์ตันด้วยค่าตัว 6แสน5หมื่นปอนด์ภายใต้การคุมทีมของเดฟ โจนส์ ด้วยวัยที่มากขึ้นทำให้เขายิงประตูไม่มากเหมือนเมื่อก่อนจึงปรับเปลี่ยนไปเล่นตำแหน่งกองกลาง ประสบการณ์ของเขายังช่วยทีมได้มากสำหรับการต่อสู้ในพรีเมียร์ลีก 2ประตูที่เขาทำได้เกิดขึ้นในเกมส์พบแบล็กเบิร์นโรเวอส์ซึ่งเป็นทีมที่เขาย้ายไปเล่นให้ในเวลาต่อมา และเกมส์พบนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ดในวันที่ 15 สิงหาคม 1999 ซึ่งเป็นลูกวอลเล่ย์สุดสวยที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอลหลายคน โดยในฤดูกาล 1998-1999 ฤดูกาลแรกของเขากับทีมเขาได้รับใบเหลืองถึง14 ใบ ซึ่งมากที่สุดในพรีเมียร์ลีก ในเดือนสิงหาคม ปี1999เขาได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการทีมชาติเวลส์ในขณะที่ยังไม่ได้แขวนสตั๊ด
เมื่อเกล็น ฮ็อดเดิ้ลกลายเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ของเซาแทมป์ตัน มาร์ก ฮิวส์ในวัย36ปี ก็กลายเป็นนักเตะที่ไม่ได้อยู่ในแผนการทำทีม เขาจึงย้ายไปร่วมทีมเอฟเวอร์ตันและมีบทบาทในฐานะผู้เล่นน้อยลงตามวัย แต่ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้จัดการทีมชาติเวลส์ต่อไป และเขาตัดสินใจย้ายมาเล่นในลีกระดับล่างเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2000-2001
เขากลายมาเป็นผู้เล่นคนสำคัญของแบล็กเบิร์นโรเวอส์และสามารถพาทีมคว้ารองแชมป์ดิวิชั่น1 (ปัจจุบันคือลีกแชมเปียนชิพ) พร้อมกับเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จหลังจบฤดูกาล2000-2001
ฤดูกาล2001-2002แบล็กเบิร์นโรเวอส์สามารถคว้าแชมป์ลีกคัพได้สำเร็จและนั่นเป็นการชูถ้วยแชมป์ครั้งสุดท้ายของเขาก่อนที่จะประกาศเลิกเล่นในเดือนกรกฎาคม ปี 2002ก่อนอายุครบ39ปีเพียงไม่กี่เดือน
มาร์ก ฮิวส์รับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติเวลส์ในปี 1999 ในขณะเป็นผู้เล่นของเซาแทมป์ตัน โดยเขารับงานต่อจากบ็อบบี้ กูลด์ และทำผลงานได้อย่างดีจนได้รับสัญญาระยะยาว ในช่วงเวลา5ปีของเขาในตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติ เขาเกือบพาทีมผ่านเข้าไปเล่นในศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปปี 2004 แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อทีมแพ้ต่อทีมชาติรัสเซียในรอบเพลย์ออฟ
แม้จะทำผลงานได้ดีกับทีมชาติเวลส์ แต่ฮิวส์ก็ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติในเดือนกันยายน ปี 2004 เพื่อไปรับงานคุมทีมแบล็กเบิร์นโรเวอส์ทีมเก่าของเขาในพรีเมียร์ลีกอย่างเต็มตัวหลังจากเขานั่งควบ2ตำแหน่งทั้งผู้จัดการทีมชาติเวลส์และผู้จัดการชั่วคราวของแบล้คเบิร์น โรเวอร์สในปลายฤดูกาล2003-2004 ผลงานของเขาในปีนั้นคือการพาทีมรอดจากการตกชั้น และนำสโมสรเข้าถึงรอบ4ทีมสุดท้ายในเอฟเอคัพได้เป็นครั้งแรกในรอบ40ปี
ฤดูกาล2004-2005 ปีที่2ของเขากับทีมฮิวส์นำแบล็กเบิร์นจบฤดูกาลด้วยอันดับ6อย่างเหลือเชื่อ และได้ไปเล่นยูฟ่า คัพเมื่อจบฤดูกาล โดยในลีกทีมของเขาสามารถเอาชนะเชลซี, และชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดทั้งนัดเหย้าและนัดเยือน รวมทั้งยังสมารถเอาชนะอาร์เซน่อลได้สำเร็จ และทีมของเขายังเข้าไปชิงชนะเลิศถ้วยลีกคัพก่อนจะแพ้เชลซีไป1-0ทำให้ได้แค่รองแชมป์
วันที่ 4 พฤษภาคม ปี2006 จากผลงานอันยอดเยี่ยม ฮิวส์และผู้ช่วยของเขามาร์ก โบเวนได้รับการต่อสัญญาต่อไปอีก3ปี สัญญาฉบับนี้จะทำให้เขาอยู่กับทีมจนถึงช่วงฤดูร้อนของปี 2009
การสร้างทีมของเขาในอีวู้ด ปาร์คนั้นเขาได้ซื้อตัวผู้เล่นคนสำคัญของทีมเช่นเบนนี่ แม็คคาร์ธี่ย์ (2ล้านปอนด์),เดวิด เบนท์ลี่ย์ (5แสนปอนด์),ไรอัน เนลเซ่น (ฟรี) รวมถึงการได้ยอดกองหน้าอย่างโรเก้ ซาน ตา ครูซ (3ล้าน5แสนปอนด์) และกองหลังจอมโหดอย่าง คริสโตเฟอร์ แซมบ้า (4แสนปอนด์) แบล็กเบิร์นจบฤดูกาลด้วยอันดับ10 ในฤดูกาล2006-2007 และผ่านเข้าถึงรอบน็อคเอาท์ในศึกยูฟ่าคัพ ก่อนจะแพ้ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นด้วยประตูรวม3-2 ส่วนในเอฟเอคัพเขาพาทีมเข้าถึงรอบรองชนะเลิศได้อีกครั้งและเป็นครั้งที่3ของทีม นับแต่ฮิวส์เข้ารับตำแหน่ง และฤดูกาลนั้นเขาได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนตุลาคม
ฤดูกาล2007-2008 ฮิวส์พาทีมเก็บชัยชนะได้ถึง15นัด และจบฤดูกาลด้วยอันดับ7 โดยโรเก้ ซาน ตา ครูซกองหน้าที่เขาซื้อมายิงประตูในลีกได้ถึง19ประตูในฤดูกาลแรกที่มาร่วมทีม
หลังจบฤดูกาล2007-2008 พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตรประธานสโมสรแมนเชสเตอร์ซิตีในขณะนั้นสั่งปลด สเวน โกรัน อิริคสัน ออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมและแต่งตั้งมาร์ก ฮิวส์เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในเดือนมิถุนายน ปี2008 ด้วยสัญญา3ปี
เดือนกันยายน ปี 2008 เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสโมสรเมื่อ แมนเชสเตอร์ซิตีถูกเทคโอเวอร์โดยกลุ่มADUG (Abu Dhabi United investment group) ซึ่งเป็นกลุ่มมหาเศรษฐีอาหรับ โดยมีการประเมินว่ามีทรัพย์สินมากกว่าโรมัน อับราโมวิชเจ้าของสโมสรเชลซีอยู่หลายเท่า และนั่นทำให้มาร์ก ฮิวส์มีเงินมหาศาลในการซื้อตัวนักเตะระดับโลกเข้าสู่สโมสร โดยซื้อตัวผู้เล่นที่สั่นสะเทือนเกาะอังกฤษครั้งใหญ่ที่สุดคือการที่เขาซื้อตัวโรบินโญ่ดาวเตะบราซิลมาจากรีล มาดริดด้วยค่าตัวมากที่สุดในประเทศที่32ล้าน4แสนปอนด์
มาร์ก ฮิวส์ โดนสโมสร สโตกซิตี ประกาศปลดหลังจากทำทีมตกรอบในศึกเอฟเอคัพ เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2561 หลังจากแพ้โคเวนทรี ซิตี้ 1-2 ในขณะที่อันดับในพรีเมียร์ลีกก็อยู่ในเกณฑ์ตกชั้นเช่นกัน